วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ข่าวสดทุกวัน

  • ไทยรัฐ
  • เดลินิวส์
  • มติชน
  • ผู้จัดการ
  • กรุงเทพธุรกิจ
  • คม ชัด ลึก
  • บ้านเมือง
  • The Nation
  • ข่าวสด
  • ฐานเศรษฐกิจ
  • บางกอก โพสต์
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • สยามกีฬา
  • แนวหน้า
  • โพสต์ทูเดย์
  • ไทยโพสต์
  • สยามดารา
  • สยามรัฐ
  • สยามธุรกิจ
  • บางกอกทูเดย์
  • วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

    ผู้ประท้วงตัดรั้วลวดหนาม บุกประชิดทำเนียบปธน.อียิปต์


    ผู้ประท้วงตัดรั้วลวดหนาม บุกประชิดทำเนียบปธน.อียิปต์ ฝ่ายต่อต้านประกาศบอยค็อตต์เจรจา

    ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลอียิปต์ได้ร่วมชุมนุมบริเวณด้านนอกทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไคโร หลังจากสามารถฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่เข้ามาได้

    ประชาชนหลายหมื่นคนได้รวมตัวใกล้กับทำเนียบ หลังจากปฏิเสธข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี เพื่อขอเปิดการเจรจาเพื่อยุติเหตุนองเลือดร่วมกับฝ่ายต่อต้าน โดยผู้นำฝ่ายต่อต้านกล่าวว่า ปธน.มอร์ซี แทบไม่เหลือทางเลือกให้พวกเขา หลังจากประกาศกฤษฎีกาเพิ่มอำนาจให้ตนเอง และนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่การทำประชามติ

    ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายอียิปต์ การทำประชามติจะต้องจัดภายในสองสัปดาห์หลังถูกนำเสนออย่างเป็นทางการต่อประธานาธิบดี อย่างไรก็ดี รองประธานาธิบดีมาห์มูด เมกกี กล่าวว่า นายมอร์ซี อาจชะลอการลงประชามติในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ออกไปก่อน หากฝ่ายต่อต้านยินยอมรับประกันว่าจะไม่แสดงการท้าทายรัฐบาลอีกในภายหลัง

    ในช่วงค่ำวันศุกร์ ผู้ประท้วงฝ่ายต่อต้านได้รวมตัวกันใกล้ทำเนียบประธานาธิบดี ก่อนที่จะตัดรั้วลวดหนามและบุกเข้าไปยังบริเวณนอกกำแพงที่ใกล้ทำเนียบ บางรายฉีดสเปรย์และพ่นเป็นข้อความต่างๆ ส่วนกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลอียิปตื ได้เดินขบวนในเมืองหลวง พร้อมประกาศล้างแค้นให้แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะเมื่อต้นสัปดาห์

    ก่อนหน้านี้ กลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน National Salvation Front แถลงว่า ฝ่ายค้านไม่ขอเข้าร่วมการเจรจาตามข้อเสนอของประธานาธิบดีที่กำหนดมีขึ้นในวันเสาร์ นายโมฮัมเหม้ด เอลบาราได เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ และหัวหน้าผู้ประสานงานของกลุ่ม โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ เรียกร้องให้ทุกกลุ่มการเมืองปฏิเสธทุกข้อเสนอเพื่อเปิดเจรจาจากปธน.มอร์ซี เช่นเดียวกับกลุ่มเสรีนิยม Wafd และ กลุ่ม National Association for Change ที่ประกาศว่าจะบอยค็อตต์การเจรจาเช่นกัน

     




    ตั้งข้อหามาร์ค-เทือก คดีฆ่า99ศพ

    ตั้งข้อหามาร์ค-เทือก คดีฆ่า99ศพ

    ธาริตชี้ผลคำสั่ง ตามศาลไต่สวน ยิง'พัน คำกอง' เรียก2ผู้ต้องหา มาให้การ12ธค.



    กระหึ่มโลก - สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังตีข่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนพ.ค.2553 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 99 ศพ
    แจ้งข้อหา 'มาร์ค-เทือก' คดี 99 ศพ ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล'ธาริต' แถลงเป็นผลสืบเนื่องจากคำสั่งของศาล คดี 'พัน คำกอง' ตายด้วยกระสุนปืนเจ้าหน้าที่ตามคำสั่ง 'ศอฉ.' มีพยานหลักฐานยืนยันการสั่งใช้อาวุธปืน พลซุ่มยิง ออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก 'ผอ.ศอฉ.' ที่เกิดจากการสั่งการของ นายกฯ ในขณะนั้น ชี้การสั่งการของทั้งคู่ กระทำต่อเนื่องหลายครั้ง แม้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน ก็ไม่ระงับยับยั้ง หรือใช้แนวทางอื่นแทน บ่งชี้ได้ว่าเจตนาเล็งเห็นผล นัด 12 ธ.ค. ให้ 2 ผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา ด้านโฆษกปชป.โวยคุกคาม อ้างอีกเรื่องการเมือง ยันทั้งคู่พร้อมสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ถอยหนี ส่วนทีมกฎหมายปชป.ขู่เอาผิดธาริตและพนักงานสอบสวน

    'มาร์ค-เทือก'โดนแล้ว-ข้อหาฆ่า 

    เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 ธ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและ เจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 99 ศพ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 เป็นประธานประชุมคณะพนักงานสอบสวน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย อัยการ ตำรวจ และดีเอสไอ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ประชุมหารือกันเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง ก่อนมีมติให้แจ้งข้อหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84, และ มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี

    'ธาริต'แถลงยันหลักฐานมัด

    จากนั้นนายธาริตแถลงผลการประชุมว่า สืบเนื่องจากศาลยุติธรรมมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ในคดีการไต่สวนเหตุการณ์ตายของนายพัน คำกอง ว่าการตายของนายพันเกิดจากกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของศอฉ. และศาลส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังบช.น. และดีเอสไอ ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาล

    นายธาริตกล่าวว่า พยานหลักฐานอันสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ต้องมีมติให้แจ้งข้อหาแก่บุคคลทั้ง 2 คน มาจากพยานที่ได้จากการไต่สวน และคำสั่งของศาล รวมทั้งพยานหลักฐานที่สอบสวนเพิ่มเติม เช่น การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยที่ศอฉ.เรียกว่ากระชับพื้นที่ และขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิง และอื่นๆ โดยออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. และอ้างไว้ในคำสั่งด้วยว่า เกิดจากการสั่งการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อย่างชัดเจน สอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ในศอฉ.ว่านายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกฯ ได้รับรู้ร่วมสั่งการ และพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของศอฉ.ตลอดเวลา

    ชี้สั่งการเจตนาเล็งเห็นผลตาย 

    "ประการสำคัญคือ การสั่งการของบุคคลทั้ง สองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา แม้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน แล้วก็หาได้ระงับยับยั้ง หรือใช้แนวทางอื่นใดแทน รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่นๆ อีก จึงเป็นการบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการร่วมกันสั่งการเช่นนั้น ย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมาก และต่อเนื่องหลายวัน" หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดี 99 ศพ กล่าว

    อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า คดีเช่นนี้ถือเป็นคดีที่สำคัญของสังคม เพราะการตายเกิดจากการ กระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมายจึงบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ที่ต้องมีการไต่สวนเหตุการณ์ตายโดยศาลยุติธรรม เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยเป็นธรรมจากการสืบพยานไต่สวนโดยศาล ที่พิจารณาโดยเปิดเผย ทุกฝ่ายสามารถนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบได้ แล้วในที่สุดศาลก็จะมีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ใครทำให้ตาย และมีพฤติการณ์ หรือสาเหตุอย่างไร ในคดีนี้ศาลก็มีคำสั่งครบถ้วน หน้าที่ของพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการต่อ ตามผลของการไต่สวนและคำสั่งของศาล อาจกล่าวโดยง่ายๆ ว่าต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ได้ยุติชั้นศาลแล้วนั้นเอง

    นัด 12 ธ.ค.มารับทราบข้อหา 

    นายธาริตกล่าวต่อว่า คดีนี้ศาลสั่งว่าเหตุการตายเกิดจากกระสุนปืนของฝ่ายทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของศอฉ. พนักงานสอบสวนก็ต้องมาต่อยอดว่าผู้มีอำนาจสั่งการของศอฉ. ที่เป็นต้นเหตุของการสั่งการจนมีการตายเกิดขึ้นเป็นใคร และมีรายละเอียดพร้อมพยานหลักฐานว่าได้กระทำผิดเช่นใด ส่วนทหารที่เข้าปฏิบัติการนั้น ศาลไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด และโดยผลการสอบ สวนก็ไม่อาจระบุตัวตนได้ด้วย แต่ก็ได้รับผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ว่าเมื่อเป็นการปฏิบัติตามการสั่งการ ซึ่งเชื่อว่าต้องปฏิบัติก็ย่อมได้รับการคุ้มครองโดยไม่ต้องรับโทษ ดังนั้น ในชั้นนี้จึงไม่แจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร

    อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า เมื่อสิ้นสุดการประชุมคณะพนักงานสอบสวน ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็ลงนามในหนังสือแจ้งให้บุคคลทั้งสอง คือ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ มารับทราบข้อหาในวันที่ 12 ธ.ค. เวลา 14.00 น. เมื่อบุคคลทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อหาและสอบสวนเสร็จ ก็จะใช้ดุลพินิจปล่อยตัวไปโดยไม่ขอศาลให้ฝากขัง เนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองชั้นผู้ใหญ่ จึงใช้การออกหนังสือเชิญแทนการออกหมายเรียก การเชิญนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมาแจ้งข้อหาในช่วงนี้ ก็เพื่อจะได้นำตัวเข้ามาในคดี อันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี เพราะหากพ้นวันที่ 20 ธ.ค. ไปแล้ว บุคคลทั้งสองจะได้รับเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครองตามกฎหมายทันที เนื่องจากเปิดประชุมสภา และเชื่อว่าบุคคลทั้งสองจะมาตามนัด โดยไม่ถ่วงเวลาจนเปิดประชุมสภา ในวันที่ 21 ธ.ค.

    ย้ำดำเนินคดี 2 ฝ่ายเท่ากัน

    "การสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ดีเอสไอไม่ได้ทำคดีตามกระแส หรือใบสั่งของฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก คดีทุกคดีต้องไปจบที่ศาล พนักงานสอบสวนไม่อาจกลั่นแกล้งใคร หรือช่วยเหลือใครได้ การสอบสวนก็ร่วมกันถึง 3 ฝ่ายประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ และดีเอสไอ ทุกคดีจึงเป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ที่สำคัญเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นมีผู้เข้าข่ายกระทำผิดทั้ง 2 ฝ่าย จนถึงขณะนี้กลุ่มฮาร์ดคอร์ของผู้ชุมนุมได้ถูกดำเนินคดี ฟ้องคดีต่อศาลไปแล้วถึง 62 คดี มีผู้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลถึง 295 คน" นายธาริตกล่าว

    ตั้งข้อหา - นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงตั้งข้อหาฆ่ากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผอ.ศอฉ. ในคดีการตายของนายพัน คำกอง (ภาพเล็ก) ที่ศาลชี้ว่าเสียชีวิตจากปืนเจ้าหน้าที่รัฐ


    หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดี 99 ศพ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มผู้สั่งการของศอฉ.เพิ่งจะถูกดำเนินคดีนี้เป็นคดีแรก ซึ่งความจริงก็ดำเนินการมาแต่แรกคู่ขนานกัน แต่คดีของกลุ่มผู้สั่งการของศอฉ. ต้องรอการไต่สวนของศาลก่อน จึงดูล่าช้า ทั้งที่ ดีเอสไอได้ดำเนินคดีทั้ง 2 ฝ่ายเท่าเทียมกัน และก็เป็นธรรมชาติที่ผู้ถูกดำเนินคดี หรือผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาทุกฝ่ายจะต้องไม่ชอบใจดีเอสไอ มีการต่อว่าต่างๆ นานา ดีเอสไอเองก็พร้อมรับ เพราะถือว่าทำตามหน้าที่ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย

    ใช้พลซุ่มยิง-เข้าข่ายเล็งเห็นผล

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีในช่วงเหตุการณ์เดือนเม.ย.2553 ที่นายธาริตให้ความเห็นว่าเห็นด้วยกับการที่ศอฉ.ดำเนินการให้เกิดความเรียบร้อยในบ้านเมือง นายธาริตกล่าวว่า มีความเห็นเช่นนั้นจริง แต่ไม่ใช่ให้ใช้อาวุธหรือสั่งยิง ตลอดจนให้มีพลซุ่มยิง หรือเห็นว่ามีคนตายไม่ผิด

    ต่อข้อถามว่าชุดสอบสวนแจ้งข้อหาอดีต นายกฯ อภิสิทธิ์ หมายความว่านายกฯ ไม่มีอำนาจระงับเหตุไม่สงบในบ้านเมืองใช่หรือไม่ แต่หากไม่ดำเนินการใดๆ จะเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่อีก นายธาริตกล่าวว่าการฟ้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เนื่องมาจากการเป็นผู้สั่งการใช้อำนาจ โดยเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 ทำอย่างต่อเนื่องหลายวันหลายครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้มีพลซุ่มยิง เป็นการก่อให้เกิดผลมีผู้เสียชีวิต

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนคดี 99 ศพ เนื่องจากนายสาธิตเป็น 1 ใน 13 คน ที่เข้าร่วม ประชุมครม.นัดพิเศษ ในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2553 ก่อนจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่นายสาธิตไม่ได้ให้การเกี่ยวกับรายละเอียดในการประชุมครม.ดังกล่าว

    ปชป.โต้-อ้างการเมืองคุกคาม 

    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนคดี 99 ศพ แจ้งข้อหาและออกหมายเรียกนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดเพื่อคุกคามฝ่ายตรงข้าม ไม่แปลกใจที่ดีเอสไอต้องเร่งรีบ เพราะมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างแน่นอน พยายามทำเรื่องนี้ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา เนื่องจากไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง จึงอยากเตือนนายธาริตว่า เรื่องนี้สังคมเห็นชัดเจนแล้วว่ามีความจงใจตั้งข้อหา ทั้งในแง่การสืบสวนสอบสวนที่ตั้งธงเอาผิดผู้ออกคำสั่งในนามศอฉ.

    นายชวนนท์กล่าวว่า ขอยืนยันว่าไม่มีคำสั่งของศอฉ.ฉบับไหน ที่สั่งให้ทหารใช้ความรุนแรงกับประชาชน หรือสั่งให้ทหารฆ่าประชาชน มีแต่เพียงคำสั่งที่ให้ทหารออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือชายชุดดำ ดังนั้นจึงตีความว่าเป็นการเล็งเห็นผลไม่ได้ ขอยืนยันว่าบุคคลทั้งสองพร้อมต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ถอยหนีไปไหน และพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ว่าไม่เคยใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต หรือสั่งให้ทหารทำร้ายประชาชน ดังนั้น เรื่องนี้ผู้ที่ออกคำสั่ง หรือตั้งข้อหาโดยมิชอบจะต้องรับผิดชอบ

    รีบตั้งข้อหา-บิดข้อเท็จจริง 

    ส่วนนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษก และทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกตั้งข้อหา ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและคำสั่งศาลเพียงเพื่อนำไปสู่การตั้งข้อหาเท่านั้น และพฤติกรรมของดีเอสไอ ที่เร่งรีบตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เพราะการทำงานของดีเอสไอ กำหนดธงไว้แล้วว่าจะต้องตั้งข้อหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้จงได้ เพื่อให้ทันเปิดสมัยประชุมนิติบัญญัติ แล้วเอานายอภิสิทธิ์และนาย สุเทพ เป็นตัวประกัน เพื่อสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การออกกฎหมายปรองดอง หรือกฎหมายล้างผิด

    "วันนี้จึงได้แสดงออกชัดเจน เมื่อเปิดฉากกันแบบนี้ ก็ต้องสู้กันตามกระบวนการของกฎหมาย ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และเชื่อว่าความถูกต้องยังคงมีอยู่ในบ้านเมือง และดีเอสไอตั้งแต่อธิบดีจนถึงพนักงานสอบสวน ก็จะต้องยอมรับผลในทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน อย่าคิดว่าถือกฎหมายแล้วจะทำอะไรก็ได้ ระวังจะคืนสนองกลับไปหาตัวเอง" ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

    ศาลชี้เปิดสภา-ปล่อยก่อแก้ว 

    วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงกรณีการปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ช่วงเปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติในวันที่ 21 ธ.ค. ที่จะถึงว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 131 ระบุว่าในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัว ส.ส. หรือส.ว. ไปสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา และในวรรค 5 ของมาตรานี้ ยังระบุว่าถ้า ส.ส. หรือ ส.ว. ถูกคุมขังระหว่างสอบสวน หรือพิจารณาเมื่อถึงสมัยประชุมต้องสั่งปล่อยทันที หลังจากมีคำร้องขอจากประธานสภา

    อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า หมายความว่าการที่ศาลจะปล่อยตัวนายก่อแก้วได้ ต้องมีหนังสือแจ้งจากประธานสภามายังศาลอาญา ถึงจะออกหมายปล่อยตัวชั่วคราวได้ แต่ในกรณีที่ไม่มีหนังสือแจ้งมา ศาลจะยังมีอำนาจคุมขังนายก่อแก้วจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายพิจารณาคดีความอาญาต่อไป อย่างไรก็ตาม ถ้ามีหนังสือจากประธานสภาแจ้งมา ศาลอาญาก็จะต้องออกหมายปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อให้จำเลยไปใช้สิทธิ์ในสภา แต่ถ้าถึงวันปิดสมัยประชุมสภา นายก่อแก้วจำเลยจะต้องมารายงานตัวที่ศาล เพื่อให้ศาลออกหมายขังอีกครั้ง มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับ

    ทนายเล็ง 2 แนวทางยื่นประกัน

    ด้านนายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความของนายก่อแก้วกล่าวว่า เข้าหารือนายก่อแก้วถึงสาเหตุที่ศาลยกคำร้องการขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา และหารือถึงแนวทางในการยื่นขอประกันตัวว่า เบื้องต้นได้เตรียมไว้ 2 แนวทาง คือ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง และยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อขอให้ศาลไต่สวนเท็จจริง ว่าจำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำผิดเงื่อนไขของศาล ในการพูดข่มขู่ คุกคาม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบกับจำเลย เป็นส.ส.มีภารกิจหน้าที่ที่ต้องสะสาง แม้จะอยู่ระหว่างปิดสมัยประชุมสภาก็ตาม

    ทนายความนายก่อแก้วกล่าวต่อว่า ส่วนจะใช้แนวทางเดียวกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ยื่นคำร้องขอความเมตตาต่อศาล และลงข้อความขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์ หรือไม่นั้น คงไม่ใช่ เนื่องจากมีลักษณะการกระทำผิดต่างกัน คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนว่าจะใช้แนวทางใด


    ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ 
    poppulanews

    วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

    ภาพประวัติศาสตร์ทุกฉบับหน้า1นสพ.


    ภาพประวัติศาสตร์ทุกฉบับหน้า1นสพ. แผ่นดินเหลืองอร่ามทอง กึกก้อง"ทรงพระเจริญสดุดี"ถวายพระพร"ในหลวง"









    "งานไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ" ที่อุตรดิตถ์


    งดงาม อลังการ "งานไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ" ที่อุตรดิตถ์




             
    ช่วงค่ำคืนวันที่ 5 ธันวาคม ที่บริเวณริมแม่น้ำน่าน ท่าน้ำหน้าวัดวังแดง ต.วังแดง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ นายชลิต  ธนวัฒน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานเปิดงานไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ และพิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ ประจำปี 2555  และเป็นปีที่ 15 มีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลตำบลตรอน เทศบาลตำบลบ้านแก่ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านแก่ง อบต.วังแดง อบต.หาดสองแคว อบต.ข่อยสูง และ อบต.น้ำอ่าง ร่วมจัดแพเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 7 หลัง พร้อมด้วยแพขอบคุณสายน้ำอีก 47 หลัง  โดยมีประชาชนทั่วสารทิศจาก จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดตาก จังหวัดแพร่ จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดน่าน จำนวนเรือนแสนแห่ชมงานประเพณีไหลแพไฟ ตามจุดท่าน้ำต่างๆทั้ง 5 แห่ง ที่ขบวนไหลแพไฟไหลผ่าน อาทิ จุดท่าวังแดง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนไหลแพไฟเริ่มออก  จุดท่าน้ำตรอน จุดท่าน้ำ อบต.บ้านแก่ง จุดท่าน้ำเทศบาลบ้านแก่งและท่าน้ำวัดหาดสองแคว ซึ่งเป็นจุดที่แพไฟทั้งหมดจะไหลมารวมกันและสิ้นสุดที่นี่  ด้วยระยะทาง 10 กิโลเมตร



    วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

    "สมุย-พะงัน" ป่วน!


    "สมุย-พะงัน" ป่วน! ไฟฟ้าดับทั้ง 1 เกาะ เคเบิ้ลใต้ดินระเบิด นักท่องเที่ยวแห่เช็คเอาท์เพียบ!



    ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม  ว่า  ที่ อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเกาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ได้เกิดความวุ่นวายเนื่องจากกระแสไฟฟ้าดับทั้ง 2 เกาะต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม โดยบางพื้นที่ยังมีกระแสไฟฟ้าใช้และดับเป็นช่วงๆ ซึ่งในช่วงกลางคืนโรงแรมรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่มีเครื่องยนต์กำเนิดไฟฟ้าต้องปั่นกระแสไฟฟ้าเอง ส่วนบังกะโลและรีสอร์ทขนาดเล็กต้องใช้เทียนจุดให้กับแขกที่เข้าพัก


    เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อ.เกาะสมุย ชี้แจงว่า สาเหตุมาจากจุดข้อต่อสายเมนเคเบิ้ลไฟฟ้าใต้ดินเส้นใหญ่ขนาด 115 KV (กิโลโวลต์) ที่จ่ายไฟเลี้ยงทั้ง 2 เกาะฝังอยู่ลึกใต้ผิวดินประมาณ 1 เมตร ระหว่างชายฝั่งบ้านพังกา – สถานีไฟฟ้าพังงา หมู่ 4 ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย ซึ่งเชื่อมมาจากสายเคเบิ้ลใต้น้ำ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช – บ้านพังงา ได้เกิดระเบิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 4 ธันวาคม ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อไปได้

    “  กฟภ.ได้แก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยนำกระแสไฟฟ้าขนาด 33 KV ของสายเคเบิ้ลใต้น้ำอีกเส้นหนึ่งที่มีอยู่เดิมมาจ่ายไฟฟ้าไปพรางก่อน แต่จ่ายเลี้ยงบนเกาะสมุยได้เป็นบางพื้นที่และแบ่งเป็นโซนๆละ 2 ชั่วโมงดับสลับกันไป เนื่องจากกระแสไฟฟ้าไม่พอและให้ประชาชนหุงทำอาหารได้ก่อน ” เจ้าหน้าที่ กฟภ.กล่าว

    นายสุนทร ภู่ไพบูลย์ ผู้จัดการโรงแรมโครอลโคฟสมุย หาดเฉวงน้อย ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย กล่าวว่า ได้ปั่นเครื่องไฟฟ้าใช้เองตั้งแต่เช้าวันที่ 4 ธันวาคมถึง 2 ทุ่ม ทำให้เครื่องร้อนจัดจนน็อคดับไป ซึ่งได้รีบชี้แจงให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศรวมทั้งแขกที่เข้าพักได้ทราบและยังดีที่น้ำประปายังไหลอยู่มีน้ำให้แขกได้ใช้อาบไม่เช่นนั้นต้องมีการยกเลิกคืนห้องพักเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการยกเลิกการเข้าพักใดๆ


    “ โรงแรมหลายแห่งเริ่มซื้อหาน้ำมันเชื้อเพลิงมาสำรองไว้ใช้แล้ว เนื่องจากเกรงน้ำมันบนเกาะจะไม่พอ และปั๊มน้ำมันบางแห่งจ่ายน้ำมันไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องปั่นไฟและระบบโทรศัพท์มือถือใช้การติดต่อไม่ได้แล้ว เพราะไฟสำรองตามเสาส่งสัญญาณหมดไปแล้วเช่นกัน ” นายสุนทร กล่าว

    นางวรรณี ไทยพานิช นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน กล่าวว่า ไฟฟ้าดับทั้งเกาะมาเป็นวันที่ 2 แล้ว บรรดาร้านอาหารที่มีตู้แช่ เช่น ร้านไอศกรีม ต้องเสียหายหายแห่ง และรีสอร์ทหลายแห่งที่ไม่มีเครื่องปั่นไฟต้องเดือดร้อนไปตามๆกัน เนื่องแขกชาวต่างประเทศที่เข้าพักได้ยกเลิกคืนห้องย้ายไปพักตามโรงแรมใหญ่ที่มีเครื่องปั่นไฟแทน

    ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น.นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผวจ.สุราษฎร์ธานี และนายศักดา นาวารัตน์ รอง ผอ.กองบริการลูกค้า กฟภ.เขต 2 ภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช ร่วมแถลงข่าวที่ศาลากลาง จ.สุราษฎร์ธานี

    นายศักดา กล่าวว่า สาเหตุไฟฟ้าลัดวงจรเกิดจากโรงไฟฟ้าที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (แอคโก้) ได้หยุดปรับปรุงระบบจ่ายไฟเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนไฟดับทั้งเกาะสมุยและเกาะพะงัน ซึ่งมีปริมาณใช้กระแสไฟฟ้า 90 เมกะวัตต์ต่อวัน

    “ จากการส่งทีมช่าง กฟภ.จากรุงเทพฯเข้าตรวจสอบสายเคเบิ้ลไฟฟ้าใต้ดินบนเกาะสมุยระยะทาง 30 กิโลเมตรจนถึงเวลา 01.00 น.วันที่ 5 ธ.ค.พบว่า สายเคเบิ้ลไฟฟ้าขนาดเส้นผ่าสูนย์กลาง 250 มิลลิเมตรตรงจุดต่อสายบ้านพังงา ต.ตลิ่งงาม ได้เกิดไฟรั่วลัดวงจร กฟภ.จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญของส่วนกลางที่ทำงานอยู่ จ.เชียงรายลงมาเกาะสมุยโดยด่วนถึงเวลา 15.00 น.จะเข้าซ่อมทันที เบื้องต้นคาดจะใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงในการเชื่อมต่อ หากไม่มีปัญหาจะจ่ายไฟได้เวลา 23.00 น. ” นายศักดา กล่าว

    นายศักดา กล่าวและว่า การแก้ปัญหาในขณะนี้ระบบไฟฟ้า 33 เควีที่มีอยู่จ่ายกระแสไฟได้ 15 เมกะวัตต์ จะจ่ายหมุนเวียน ได้ 2 ชั่วโมงต่อพื้นที่ โดยจ่ายได้เพียง 1 ใน 5 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้ง 2 เกาะเท่านั้นและได้ส่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ไปสำรองไว้ที่โรงพยาบาลเกาะสมุย พร้อมมีการระดมรถโมบาย(รถยนต์เครื่องกำเนิดไฟฟ้า) ชุดแรก 4-5 คันของ กฟภ.ลงไปปั่นจ่ายไฟพื้นที่เกาะสมุยและเกาะพะงันแล้ว

    นายฉัตรป้อง กล่าวว่า มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นวันหยุด โดยนักท่องเที่ยวบนเกาะสมุย ในช่วงวันหยุดประมาณ 20,000 คน ได้เดินทางออกจากเกาะไปแล้วเหลือประมาณ 1,000 คนเท่านั้น ส่วนเกาะเต่าไม่มีผลกระทบเพราะมีไฟฟ้าใช้เอง 

    “ ขณะนี้ได้สั่งการด่วนไปยังคลังน้ำมันบริษัท ปตท.สุราษฎร์ธานี ให้ระดมส่งน้ำมันบรรทุกน้ำมันลงไปที่เกาะสมุยและเกาะพะงัน เนื่องจากสถานประกอบโรงแรมรีสอร์ทระดับ 3 ดาวลงมาไม่มีเครื่องปั่นไฟ และน้ำมันบนเกาะเริ่มขาดแคลนและมีการกักตุนขึ้น ” นายฉัตรป้อง กล่าว   

    วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

    ′′แอโรบิกมวยไทย-คีตะมวยไทย′′


    ′′แอโรบิกมวยไทย-คีตะมวยไทย′′ ใส่จังหวะแอโรบิก เต้นท่าไหว้ครูมวย

    วันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:30:01 น.
      


    เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นายวีระ กัจฉปคีรินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันอนุรักษ์ศิลปะมวยไทย กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสนใจในศิลปะวัฒนธรรมไทยมากนัก โดยเฉพาะศิลปะป้องกันตัว เช่น มวยไทย ซึ่งมีท่าไหว้ครูในรูปแบบต่างๆ ที่สวยงาม แต่ไม่ใช่เป็นแค่ศิลปะป้องกันตัว แต่ถือเป็นการออกกำลังกายแนวหนึ่งที่ส่งเสริมบุคลิกภาพ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี แต่เยาวชนกลับไม่ค่อยนิยม หันไปนิยมการเล่นศิลปะการป้องกันตัวของต่างชาติ อาทิ คาราเต้ ยูโด ฯลฯ แทน ล่าสุดสถาบันอนุรักษ์ศิลปะมวยไทย จึงได้สนับสนุนให้เยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปหันมาสนใจศิลปะมวยไทย โดยส่งเสริมการออกกำลังกายผสมผสานด้วยท่ามวยไทย

    "ขณะนี้ได้มีการประยุกต์ดัดแปลงใช้ทักษะมวยไทย ประกอบด้วย หมัด เท้า เข่า ศอก ถีบ และศิลปะการไหว้ครูมาใช้ประกอบกับเสียงเพลง โดยการนำจังหวะของแอโรบิกมาผสมผสานเป็นท่าเต้น เรียกว่า แอโรบิกมวยไทย หรือคีตะมวยไทย สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ส่งผลเสียหายต่อร่างกาย เหมือนการเล่นแอโรบิกทั่วไป ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เลือดไหลเวียนดี ยกเว้นในกลุ่มผู้สูงอายุ แนะนำให้ใช้ท่าไหว้ครูเพื่ออบอุ่นร่างกาย (วอร์ม) ยืดเส้นยืดกล้ามเนื้อ" นายวีระ กล่าว และว่า ขณะนี้มีท่าไหว้ครูประมาณ 12 ท่า แต่ที่นิยมมีประมาณ 3-4 ท่า ได้แก่ ท่าพรหมสี่หน้า ท่าเทพพนม ท่ายูงฟ้อนหาง ท่านารายณ์ขว้างจักร

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบันต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มีการนำท่าไหว้ครูมวยไทยไปประยุกต์ใช้ออกกำลังกาย นายวีระกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบว่า เป็นการประยุกต์ลักษณะใด แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีการส่งเสริมมาตลอด โดยสถาบันอนุรักษ์ศิลปะมวยไทยส่งเสริมด้วยการเปิดสอนฟรีให้แก่เด็ก เยาวชน หรือประชาชนทั่วไป แบ่งเป็นการสอนแม่ไม้มวยไทย การออกกำลังด้วยท่าไหว้ครู การเต้นแอโรบิกมวยไทย ซึ่งในแต่ละปีมีผู้สนใจประมาณ 1,000 คน เรียนวันละ 30-40 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติประมาณ 4-5 คน ดังนั้น หากผู้ใดสนใจติดต่อได้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ พระราม 1 หรือโทร.0-2214-0127, 0-2214-0129, 0-2214-0132

    ด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงท่าไหว้ครูมวยไทยว่า ถือเป็นการเคลื่อนไหวช้าๆ เบาๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการอบอุ่นร่างกาย การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และการฝึกความนิ่ง สามารถนำมาใช้ในลักษณะการออกกำลังกายได้ทุกท่า ซึ่งจะพบว่าการร่ายรำไหว้ครูมวยไทย มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 นาที ก่อนการชกมวย หากนำมาใช้เพื่อส่งเสริมในรูปแบบของการออกกำลังกายจะมีความคล้ายคลึงกับการรำชี่กง และการฝึกโยคะ

    นพ.เจษฎากล่าวอีกว่า หากจะใช้ท่าไหว้ครูเพื่อส่งเสริมสุขภาพ แนะนำว่าควรฝึกต่อเนื่องแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 30 นาที และไม่น้อยกว่า 5 วันต่อสัปดาห์ ตัวอย่างเช่น ท่าพรหมสี่หน้า จะเริ่มด้วยการนั่งคุกเข่า 2 ข้างลงกับพื้น ทำมุมกาง 90 องศา นั่งทับส้นเท้า จากนั้นยกมือพนมระหว่างคิ้ว และเลื่อนมาบริเวณอก แยกมือออก เหยียดตรงไปข้างๆ ตัว แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า วกมือทั้งสองบรรจบกันข้างหน้า คว่ำแตะพื้น ศีรษะก้มลงในท่ากราบ แล้วผงกศีรษะทรงตัวตรงตามเดิม ต่อมาจะเป็นการเหยียดเท้าขวาออก เป็นท่าชันเข่ายืน แขนขวาออกแรงแตะเข่าขวา

    "จังหวะนี้เป็นท่าเตรียมยืน ซึ่งท่านี้จะช่วยยืดข้อต่อต่างๆ ทั้งข้อไหล่ ข้อศอก และข้อสะโพกด้านหน้า กล้ามเนื้อ ต้นขาด้านหน้าด้านหลัง และน่อง รวมไปถึงกระตุ้นระบบหายใจ และการไหลเวียนเลือด ในท่าพรหมสี่หน้า ยังมีจังหวะยืนไหว้เทพนิมิตร ซึ่งต่อจากท่านั่ง โดยใช้มือขวาแตะเข่าขวา ยืนตรงขึ้นพร้อมด้วยหมัดซ้ายยกขึ้นระดับเสมอ อก ประชิดเท้าซ้ายชึ้นเสมอเท้าขวา เป็นท่ายืนหันหน้าไปทางคู่ต่อสู้ ท่านี้ก็ช่วยในการยืดเหยียดเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ท่าไหว้ครูจะเน้นการยืดเหยียด จึงเหมาะกับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เนื่องจากไม่อันตราย และไม่ได้ใช้แรงในการออกกำลังกายมากนัก" นพ.เจษฎากล่าว